ริดสีดวงทวารหนัก โรคที่ควรระวังสำหรับผู้ที่ชอบเข้าห้องน้ำนาน

คุณเป็นคนที่ใช้เวลาในห้องน้ำนานไหม เคยนั่งเล่นโทรศัพท์เพลินจนลืมเวลาหรือเปล่า แม้พฤติกรรมดังกล่าวดูเหมือนจะไม่มีอันตรายอะไร แต่การนั่งในห้องน้ำนาน ๆ ทำให้เสี่ยงเป็นโรคริดสีดวงทวารได้ ซึ่งโรคนี้สามารถสร้างความรำคาญได้ตลอดทั้งวัน  

คือ โรคที่เกิดจากเส้นเลือดดำทวารหนัก หรือส่วนปลายสุดของลำไส้ใหญ่ มีอาการบวม, พอง และยืดตัว จนยื่นนูนเป็นติ่งออกมาจากทวารหนัก  

เกิดจากเนื้อเยื่อทวารหนักที่อยู่สูงกว่าระดับหูรูดทวารหนัก เกิดการโป่ง, พอง, แตก, มีเลือดออก และไม่ส่งผลให้เกิดอาการเจ็บปวดใด ๆ เนื่องจากบริเวณดังกล่าวมีเส้นประสาทที่รับความรู้สึกน้อยมาก  

ริดสีดวงยังมีขนาดเล็กอยู่ ซึ่งผู้ป่วยจะยังมองไม่เห็น แต่จะมีเลือดออกเวลาถ่ายอุจจาระ 

มีขนาดใหญ่มากขึ้น และเริ่มเป็นติ่งยื่นออกมาหากทำการเบ่งถ่ายอุจจาระ แต่ในระยะนี้ติ่งสามารถหดกลับเข้าไปเองได้ 

คล้ายคลึงกับระยะที่ 2 แต่ในระยะนี้ ผู้ป่วยอาจต้องใช้นิ้วมือดันติ่งริดสีดวงกลับเข้าไป 

ในระยะนี้ ริดสีดวงจะมีขนาดใหญ่เป็นติ่งที่ยื่นออกมาแบบถาวร ไม่สามารถหด หรือดันกลับเข้าไปได้แล้ว

เกิดบริเวณทวารหนักส่วนล่าง มีอาการนูนเป็นติ่งออกจากทวารหนัก ริดสีดวงชนิดนี้สามารถสังเกตเห็นได้ง่ายกว่าริดสีดวงภายใน และมีอาการเจ็บปวดจากประสาทรับความรู้สึก 

เกิดจากแรงดันที่มีปริมาณมากขึ้นกว่าปกติในเส้นเลือดทวารหนัก จนมีอาการบวม ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการมีหลายอย่าง ได้แก่

  • การยกของหนักบ่อย
  • การนั่งถ่ายอุจจาระนาน, การเบ่งอุจจาระแรง, ท้องผูก และท้องเสียบ่อย 
  • การมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก
  • คนในครอบครัวเคยเป็นโรคนี้มาก่อน
  • ผู้สูงอายุที่มีความเสื่อมสภาพของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันทางทวารหนัก
  • รับประทานอาหารที่มีกากใยน้อยเกินไป
  • มีโรคประจำตัวอื่นที่เพิ่มความดันในช่องท้อง เช่น ตับแข็ง, ภาวะตั้งครรภ์, โรคอ้วน เป็นต้น
  • การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • มีเลือดออกขณะ หรือหลังถ่ายอุจจาระ
  • มีติ่ง หรือก้อนที่ทวารหนัก อาจมีอาการคัน, ปวด, เจ็บบริเวณที่เป็นริดสีดวง
  • นอกจากนี้อาจมีอาการหน้ามืด หรือเวียนศีรษะร่วมด้วย

แม้อาการเริ่มต้นของริดสีดวง คือ การมีอาการถ่ายเป็นเลือด แต่อาการดังกล่าว อาจนำไปสู่โรคมะเร็งลำไส้ส่วนปลายที่อยู่ใกล้กับทวารหนัก ซึ่งจุดสังเกตง่าย ๆ คือ หากเป็นมะเร็งลำไส้จะไม่มีติ่งเนื้อยื่นออกมา มีอาการปวดบริเวณก้น และความแตกต่างอีกอย่าง คือ คนที่เป็นริดสีดวงทวารจะขับถ่ายเป็นปกติ แล้วค่อยมีหยดเลือดออกมา แต่หากเป็นมะเร็งลำไส้จะถ่ายเป็นเลือดปนมากับอุจจาระ

  • การขับถ่ายมีความผิดปกติ หรือเปลี่ยนแปลงจากเดิม
  • อาการปวดท้องเรื้อรัง
  • ปวดหน่วง และมีมูกเลือดปะปน
  • น้ำหนักลดลงแบบผิดปกติ
  • ภาวะซีด และอ่อนเพลีย

อาจทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง หรือภาวะขาดเลือดจนความดันโลหิตต่ำ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการอ่อนเพลีย, ปากแห้ง, มือเท้าเย็น เป็นต้น 

ลิ่มเลือดอุดตันในหัวริดสีดวงทวาร

ติ่งเนื้อริดสีดวงจะเป็นก้อน เพราะมีก้อนเลือดอุดตัน และจับตัวกันอยู่ภายใน ส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดความเจ็บปวด 

การบีบรัดของหูรูดทวารหนัก 

เกิดภาวะขาดเลือดในหัวริดสีดวง เมื่อติ่งเนื้อไม่มีเลือดมาเลี้ยงที่บริเวณนั้น จะทำให้เกิดภาวะขาดเลือด และการหดตัวของหูรูดทวารหนักจนเกิดอาการบวม, อักเสบ, เน่า และส่งกลิ่นเหม็น

การวินิจฉัยโรคริดสีดวง

สอบถามประวัติของผู้ป่วย 

ว่ามีเลือดออกขณะ หรือหลังถ่ายอุจจาระ, มีก้อนเนื้อที่ทวารหนัก และอาจมีอาการปวด หรือไม่ปวดได้ 

  • ตรวจดูขอบทวารหนัก แพทย์สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เพราะส่วนใหญ่จะมีติ่งออกมาอย่างเห็นได้ชัดอยู่แล้ว
  • ตรวจขอบทวารหนักด้วยนิ้วมือ เพื่อแยกโรคอื่น ๆ เช่น ก้อน หรือแผลในทวารหนัก
  • การใช้กล้องขนาดเล็กส่องตรวจในทวารหนัก
  • การส่องกล้องลำไส้ใหญ่ โดยจะใช้วิธีนี้สำหรับผู้ป่วยที่สงสัยว่าอาจเป็นโรคในลำไส้ใหญ่
  • การนั่งแช่ในน้ำอุ่น เพื่อลดการอักเสบ หรือการขยายตัวของหลอดเลือดดำประมาณ 10-15 นาที โดยควรทำทั้งก่อน และหลังถ่ายอุจจาระ
  • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร โดยการเพิ่มอาหารที่มีกากใย และดื่มน้ำให้มากขึ้น
  • การกินยา โดยผู้ป่วยสามารถกินยาเพื่อลดอาการบวมของเส้นเลือดดำ หรือยาแก้ปวด
  • เหน็บยา แพทย์จะสั่งยาเหน็บเพื่อรักษาให้อาการดีขึ้น
  • การฉีดยา จะทำโดยการฉีดยาเข้าไปในชั้นใต้เยื่อบุ ทำให้เกิดพังผืดรัดเส้นเลือด โดยฉีดระดับเหนือหูรูดทวารหนัก แต่แพทย์จะไม่ฉีดสารเคมีเข้าริดสีดวงโดยตรง เพราะสารเคมีอาจจะเข้าเส้นเลือด และส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดอาการปวดท้อง หรือแน่นหน้าอกได้
  • การใช้ยางรัด เป็นวิธีสำหรับผู้ป่วยที่มีริดสีดวงภายในยื่นออกมา และมีขั้วขนาดเหมาะสมในการรัด โดยแพทย์จะใช้หนังยางรัดเพื่อทำให้หัวริดสีดวงฝ่อ และหลุดออกมาเองตามธรรมชาติ
  • การจี้ริดสีดวง จะทำการจี้ริดสีดวงด้วยเครื่องจี้ไฟฟ้า หรืออินฟราเรด
  • การผ่าตัด ใช้สำหรับผู้ป่วยที่เป็นในระยะที่ 3-4 เพราะติ่งเนื้อจะมีขนาดใหญ่ แพทย์จะทำการผ่าตัดเพื่อเย็บ หรือผูกหัวริดสีดวง นอกจากนี้ยังมีการใช้เครื่องมือตัดเย็บเพื่อทำให้ติ่งเนื้อกลับเข้าไปในลำไส้ตรงอีกด้วย

ผู้ป่วยควรพักผ่อนให้เต็มที่ งดอาหารเป็นเวลา 6-12 ชั่วโมง และทำความสะอาดบริเวณรอบรูทวาร รวมถึงอาจสวนล้างลำไส้เพื่อความสะอาดก่อนวันผ่าตัด

หลังผ่าตัด ผู้ป่วยไม่ควรขับรถกลับบ้านเอง หากมีอาการปวดหลังจากการผ่าตัด ควรรับประทานยาแก้ปวด และแช่ก้นในน้ำอุ่นประมาณ 10-15 นาที เพื่อทำให้บริเวณแผลสะอาด จากนั้นควรนั่งบนเบาะรองที่มีรู เพื่อไม่ให้เกิดการกดทับบริเวณแผลผ่าตัดมากจนเกินไป และหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดอาการริดสีดวงอักเสบซ้ำอีก 

  • รับประทานอาหารที่มีกากใย เช่น ผัก และผลไม้ เพื่อไม่ให้เกิดอาการท้องผูก
  • ควรดื่มน้ำในปริมาณมากวันละ 8-10 แก้วเพื่อให้ขับถ่ายง่าย
  • ไม่ควรเบ่งอุจจาระแรงเกินไป
  • หากพบว่ามีเลือดออกมากควรรีบเข้าพบแพทย์
  • รักษาสุขอนามัย โดยการล้างก้นด้วยน้ำสะอาดอยู่เสมอ และไม่ควรใช้กระดาษชำระที่แข็งจนเกินไป เพราะอาจจะทำให้รูทวารหนักเกิดบาดแผลได้

โรคริดสีดวง เป็นโรคที่อยู่ใกล้ตัว เพราะทุกคนต้องขับถ่าย แม้จะเป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายเองได้ แต่สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้อีกเช่นกัน หากมีอาการผิดปกติ หรือคิดว่าตัวเองเป็นโรคริดสีดวง ควรรีบเข้าพบแพทย์ ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่อาจตามมาได้

☎️ ปรึกษาสุขภาพ : 021 752 666

📍 ที่ตั้ง : บ้านเขาย้อย อำเภอศรีสัตตนาค

นครหลวงเวียงจันทน์ (ใกล้วัดศรีเมือง)

💡 นัดหมายออนไลน์ ลงทะเบียนฟรี รับสิทธิพิเศษในการดูแล

ແຊລ໌ບົດຄວາມນີ້

About the Author

You may also like these