ฝีคัณฑสูตร คือฝีหนองที่อยู่บริเวณทวารหนักด้านในแล้วทะลุออกมายังผิวหนังภายนอก เกิดจากการอักเสบติดเชื้อเรื้อรัง ผู้ป่วยมักมีอาการเจ็บปวด อาจถ่ายอุจจาระออกมาแล้วมีมูกเลือดปน อาการบางอย่างใกล้เคียงกับริดสีดวง
ฝีคัณฑสูตรมักเกิดกับผู้ที่อายุประมาณ 40 ปี แต่อายุน้อยกว่านี้ก็สามารถพบฝีคัณฑสูตรได้ และส่วนใหญ่มักพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง
การรักษาฝีคัณฑสูตรแบบมาตรฐานคือการผ่าตัด โดยปัจจุบันมีหลายเทคนิคการผ่าตัด ขึ้นอยู่กับอาการฝีคัณฑสูตรที่แตกต่างกัน ข้อสำคัญของการผ่าตัดคือกำจัดฝีออกไป และรักษากล้ามเนื้อหูรูดทวารหนักของผู้ป่วยไว้
ฝีคัณฑสูตร คืออะไร?
ฝีคัณฑสูตร คือภาวะอักเสบติดเชื้อเรื้อรังบริเวณทวารหนัก ซึ่งทำให้เกิดช่องทางผิดปกติระหว่างตำแหน่งที่เป็นฝีด้านในกล้ามเนื้อหรือชั้นไขมันบริเวณทวารหนักออกมายังชั้นผิวหนัง
ทางเชื่อมระหว่างด้านในทวารหนักกับผิวหนังภายนอกอาจมีเพียงทางเดียว หรือหลายช่องทางก็ได้ รวมถึงอาจลามไปสู่อวัยวะข้างเคียงได้ด้วย
ฝีคัณฑสูตรแบ่งเป็น 2 ชนิด ได้แก่

- ฝีคัณฑสูตรชนิดที่อยู่ตื้นหรือไม่ซับซ้อน (Simple Fistula)
มีการเชื่อมต่อระหว่างด้านในรูทวารหนักกับผิวหนังเพียงหนึ่งทาง
- ฝีคัณฑสูตรชนิดที่ลึกหรือมีความซับซ้อน (Complex Fistula)
มีทางออกสู่ผิวหนังหลายทาง หรืออาจเชื่อมโยงกับอวัยวะข้างเคียง หรืออาจเกี่ยวข้องกับกล้ามเนื้อหูรูดทวารหนัก
สาเหตุของโรค ฝีคัณฑสูตร คืออะไร?
สาเหตุ ฝีคัณฑสูตร ส่วนใหญ่มาจากการติดเชื้อแบคทีเรียในต่อมที่ทำหน้าที่ผลิตมูกในทวารหนัก (Anal Gland) เมื่ออาการติดเชื้อและของเสียหมักหมมนานเข้าก็กลายเป็นฝีหนอง หนองเหล่านี้จะค่อยๆ กัดเซาะขั้นกล้ามเนื้อบริเวณทวารหนักจนทะลุออกมายังชั้นผิวหนัง
ปัจจัยที่ทำให้เสี่ยงเป็นโรคฝีคัณฑสูตรมากขึ้น ได้แก่
- การผ่าตัดระบายหนองออกจากทวารหนักครั้งก่อน
- โรคลำไส้อักเสบเรื้อรังชนิดโครห์น (Crohn) หรือโรคอื่นๆ ที่ก่อให้เกิดการอักเสบบริเวณทวารหนัก
- การติดเชื้อโรคบางชนิดบริเวณทวารหนัก เช่น Actinomycosis, Syphillis โดยเฉพาะเมื่อเป็นอย่างเรื้อรัง
- การผ่าตัดหรือการฉายแสงรักษามะเร็งบริเวณทวารหนัก
อาการของโรค ฝีคัณฑสูตร เป็นอย่างไร?
อาการของโรค ฝีคัณฑสูตร ได้แก่
- คันที่ผิวหนังรอบรูทวารหนัก
- มีรูหรือเนื้อแข็งๆ รอบรูทวารหนัก
- รอบรูทวารหนักหรือแก้มก้นมีอาการอักเสบ บวม แดง
- เวลาอุจจาระสังเกตพบมูก เลือด หรือน้ำเหลืองปนออกมาด้วย ถ้าเป็นระยะเรื้อรังอาจพบหนองปนออกมา มูกและนำ้เหลืองเหล่านี้อาจมีกลิ่นเหม็น
- รู้สึกเจ็บปวดรอบๆ หรือภายในรูทวารหนัก โดยเฉพาะเวลาเบ่งอุจจาระ นั่ง หรือไอ
- มีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน
ผู้เป็นฝีคัณฑสูตรบางรายอาจรู้สึกเจ็บปวดเวลาปัสสาวะ หรือรู้สึกกลั้นอุจจาระไม่อยู่ แต่สองอาการนี้พบได้น้อย
แม้ว่าเป็นฝีคัณฑสูตรแล้ว แต่เมื่อส่องกระจกบริเวณทวารหนักด้วยกระจก อาจพบสิ่งผิดปกติ หรือไม่พบก็ได้ และอาการข้างต้นอาจไม่ได้เป็นตลอดเวลา แต่เป็นๆ หายๆ
วิธีรักษาโรค ฝีคัณฑสูตร มีวิธีไหนบ้าง
ฝีคัณฑสูตรโดยส่วนใหญ่ไม่สามารถหายเองได้ จำเป็นต้องได้รับการรักษา
แนวทางการ รักษาฝีคัณฑสูตร แนวทางหลักคือ การผ่าตัด โดยปัจจุบันมีหลายเทคนิค ได้แก่
1. ผ่าตัดเปิดโพรงฝีคัณฑสูตรเพื่อระบายสิ่งสกปรกและทำความสะอาด (Fistulotomy)

การผ่าตัดเปิดโพรงฝีคัณฑสูตรแล้วทำความสะอาด มักใช้รักษาฝีคัณฑสูตรชนิดที่อยู่ตื้นหรือไม่ซับซ้อน
วิธีผ่าตัด แพทย์จะสอดแท่งเล็กๆ (Probe) เข้าไปในโพรงฝี แล้วใช้มีดหรือจี้ไฟฟ้าผ่าโพรงฝีตามแนวยาว แล้วนำเนื้อเยื่อที่ติดเชื้อออกจนหมด รอยผ่าตามแนวยาวจะกลายเป็นผิวเรียบ ช่วยให้แผลสมานตัวกลายเป็นพังผืดเรียบ (Flat Scar) แล้วอุดบริเวณที่เคยเป็นโพรงฝีไปทั้งหมด โดยใช้เวลาดูแลรักษาแผลประมาณ 4-5 สัปดาห์ เนื้อเยื่อจึงจะขึ้นมาจนเต็ม
วิธีผ่าตัดฝีคัณฑสูตรแบบ Fistulotomy ให้ประสิทธิภาพในการรักษาประมาณ 95% จำเป็นต้องรับการผ่าตัดจากแพทย์ผู้ชำนาญการผ่าตัดรักษาฝีคัณฑสูตรโดยเฉพาะ ไม่เช่นนั้นอาจทำให้เสียกล้ามเนื้อหูรูดทวารหนักมากเกินไป ซึ่งส่งผลให้ผู้ป่วยมีปัญหากลั้นอุจจาระหลังผ่าตัดได้
2. ผ่าตัดเลาะโพรงฝีคัณฑสูตรออกทั้งหมด (Fistulectomy)
เป็นการผ่าตัดที่คล้ายคลึงกับการผ่าตัดแบบ Fistulotomy แตกต่างกันตรงที่ การผ่าตัดนี้จะเอาโพรงฝีคัณฑสูตร ส่วนของเส้นทางทะลุออกไปทั้งหมดด้วย จากนั้นใช้เนื้อเยื่อบางส่วนจากลำไส้ตรงมาปิดและซ่อมแซมกล้ามเนื้อหูรูดทวารหนัก เป็นวิธีที่มีความเสี่ยงทำลายกล้ามเนื้อหูรูดมากที่สุด
3. รักษาฝีคัณฑสูตรด้วยการคล้องไหม (Seton)
ซีตอน (Seton) คือ ไหมชนิดหนึ่งซึ่งเมื่อถูกติดตั้งไว้ในร่างกายแล้วจะไม่สลายตัวไปเอง
การใช้ซีตอนรักษาฝีคัณฑสูตรแบ่งออกเป็น 2 เทคนิค ได้แก่
3.1 การใช้ซีตอนเพื่อระบายของเหลวที่เกิดจากการอักเสบภายในทวารหนัก (Seton Drain) แพทย์จะใส่ซีตอนเข้าไปในทางระหว่างด้านในของทวารหนักที่เกิดการอักเสบซึ่งเชื่อมกับผิวหนังภายนอก ของเหลวจากการอักเสบจะถูกระบายออกทางเส้นไหมซีตอน และทางเชื่อมดังกล่าวจะค่อยๆ แคบลง จนในที่สุดจะเกิดการสร้างเนื้อเยื่อแผลเป็นขึ้นภายใน ทำให้เชื้อโรคไม่สามารถผ่านได้
การรักษาฝีคัณฑสูตรด้วยวิธีนี้อาจตามด้วยการผ่าตัดแล้วนำไหมซีตอนออก หรืออาจทิ้งไหมค้างไว้เลยก็ได้

3.2 การใช้ซีตอนเพื่อผ่าตัด (Cutting Seton) แพทย์จะติดตั้งไหมไว้ในโพรงของฝีคัณฑสูตร โดยปลายข้างหนึ่งของไหมจะออกมาทางรูทวารหนัก ส่วนปลายอีกข้างจะออกมาจากผิวหนังใกล้ๆ ทวารหนัก จากนั้นให้ผู้ป่วยค่อยๆ ดึงไหมซีตอนทีละนิด อาจใช้เวลาเป็นหลักหลายเดือนหรือเป็นปี ไหมจะค่อยๆ ตัดผ่านกล้ามเนื้อหูรูดทวารหนัก ร่วมกับร่างกายค่อยๆ สมานแผล สร้างเนื้อเยื่อใหม่ ซ่อมแซมตัวเองกลับมา จนในที่สุดไหมจะหลุดออก
วิธีนี้เป็นการตัดผ่านกล้ามเนื้อหูรูด แต่ร่างกายจะค่อยๆ ซ่อมแซมเนื้อเยื่อไปเรื่อยๆ เมื่อรักษาเสร็จผู้ป่วยจึงไม่เสียความสามารถในการกลั้นอุจจาระ ข้อเสียคือต้องใช้เวลานาน และถ้าดึงไหมเร็วเกินไป อาจรักษาอาจไม่สำเร็จ

4. ผ่าตัดฝีคัณฑสูตรโดยเก็บรักษาหูรูด LIFT (Ligation of Intersphincteric Fistula Tract)
วิธีนี้ใช้รักษาฝีคัณฑสูตรที่อยู่ระหว่างกล้ามเนื้อหูรูดทวารหนักด้านนอกกับด้านใน โดยไม่ให้กล้ามเนื้อหูรูดเสียหาย
แพทย์จะค่อยๆ กรีดเปิดเข้าไประหว่างชั้นกล้ามเนื้อหูรูดทวารหนัก เข้าไปยังโพรงฝี (Fistula Tract) แล้วผูกเย็บทางเชื่อมโพรงฝีด้านใน จากนั้นขูดทำความสะอาดเนื้อเยื่อที่โพรงฝีด้านนอก ก่อนเย็บปิด เป็นการป้องกันไม่ให้แบคทีเรียที่อยู่ข้างในทวารหนักเข้ามาในโพรงฝีได้อีก
การผ่าตัดฝีคัณฑสูตรแบบ LIFT มักทำหลังจากใช้เทคนิค Seton แล้ว ถือเป็นการผ่าตัดรักษาที่มีประสิทธิภาพประมาณ 75% แต่มีข้อดีคือจะไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อกล้ามเนื้อหูรูด ช่วยให้ผู้ป่วยหายจากอาการผิดปกติและไม่ทำให้เกิดปัญหาการกลั้นอุจจาระ

5. ผ่าตัดฝีคัณฑสูตรแบบปิดโพรงฝีจากด้านใน (Advancement Rectal Flap)
ทำเพื่อปิดทางเข้าของเชื้อที่จะทำให้เกิดทางเชื่อมระหว่างทวารหนักด้านในกับผิวหนัง โดยหลีกเลี่ยงการผ่าตัดที่จะกระทบกระเทือนหูรูดทวารหนัก
เทคนิคนี้ แพทย์จะผ่าตัดนำเนื้อเยื่อด้านในทวารหนักส่วนที่ติดเชื้อออก จากนั้นกรีดลอกแผ่นเนื้อเยื่อส่วนที่ดีซึ่งอยู่ใกล้เคียง พับลงมาปิดโพรงฝี หลังการผ่าตัดรักษา หนองที่อยู่ในโพรงฝีควรค่อยๆ ระบายออกไป และเมื่อแบคทีเรียไม่สามารถเข้าสู่โพรงฝีได้ โพรงฝีจะค่อยๆ สมานตัวและปิดเอง
เทคนิคนี้มีประสิทธิภาพในการรักษาฝีคัณฑสูตรประมาณ 70% ในบางกรณีผู้ป่วยอาจกลับมาเป็นโรคซ้ำ และมีความเสี่ยงประมาณ 30% ที่กล้ามเนื้อหูรูดผู้ป่วยจะเสียหายจากการผ่าตัด
6. ผ่าตัดฝีคัณฑสูตรด้วยเลเซอร์
การรักษาฝีคัณฑสูตรด้วยเลเซอร์ แพทย์จะใส่แท่งปล่อยลำแสงเลเซอร์ (Laser Probe) เข้าไปในโพรงฝีจากผิวหนังด้านนอก จากนั้นควบคุมเลเซอร์ให้ค่อยๆ ปล่อยพลังงานออกมาทำลายเนื้อเยื่อในโพรงฝี ค่อยๆ ปิดไล่ออกมาจากรูเปิดด้านในจนถึงรูเปิดด้านนอก
เทคนิคนี้ทำให้เนื้อเยื่อหดตัวกลายเป็นแผลเป็น (Scar Tissue) ส่งผลให้โพรงฝีตันลงในที่สุด
หนึ่งในสิ่งที่ควรสอบถามแพทย์ให้แน่ชัดก่อนผ่าตัดฝีคัณฑสูตร คือ เรื่องผลกระทบของการผ่าตัดที่อาจมีต่อกล้ามเนื้อหูรูดทวารหนัก เนื่องจากกล้ามเนื้อส่วนนี้มีความสำคัญ ถ้าเสียหายไปอาจทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถกลั้นอุจจาระได้ในอนาคต
ส่วนการรักษาฝีคัณฑสูตรแบบไม่ผ่าตัด ปัจจุบันมีเพียงวิธีเดียวเท่านั้น คือ การรักษาโพรงฝีด้วยกาวทางการแพทย์
การป้องกันโรค ฝีคัณฑสูตร
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีป้องกันการเกิดโรคฝีคัณฑสูตร เนื่องจากไม่ทราบสาเหตุการเกิดโรคที่แน่ชัด แต่หากเคยเป็นฝีคัณฑสูตรแล้ว ควรป้องกันตัวเองเพื่อไม่ได้กลับมาเป็นโรคนี้ซ้ำอีก ด้วยวิธีต่อไปนี้
- รับประทานอาหารที่มีกากใย ดื่มน้ำมากๆ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รวมถึงหลีกเลี่ยงการอั้นอุจจาระหรือเบ่งอุจจาระแรงๆ เพื่อให้ลำไส้ทำงานอย่างปกติและป้องกันท้องผูก
- รักษาความสะอาดบริเวณทวารหนัก และควรให้อยู่ให้สภาพแห้งเสมอ เพื่อลดความเสี่ยงติดเชื้อโรค
ยังไม่แน่ใจว่าป่วยเป็นโรค ฝีคัณฑสูตร รึเปล่า ปรึกษาทีม HDcare ได้เลย เราพร้อมเป็นผู้ช่วยส่วนตัวดูแลสุขภาพคุณ สอบถามข้อมูลเบื้องต้นกับคุณหมอเฉพาะทาง ทำนัดปรึกษาคุณหมอได้รวดเร็ว หรือค้นหาแพ็กเกจตรวจคัดกรองโรค จาก รพ. หรือคลินิกใกล้คุณได้ทันที คลิกที่นี่เลย
☎️ ปรึกษาสุขภาพ : 021 752 666
📍 ที่ตั้ง : บ้านเขาย้อย อำเภอศรีสัตตนาค
นครหลวงเวียงจันทน์ (ใกล้วัดศรีเมือง)
💡 นัดหมายออนไลน์ ลงทะเบียนฟรี รับสิทธิพิเศษในการดูแล