ตกขาวสีแปลกๆ เพราะเหตุใด อันตรายหรือไม่

ตกขาว คือ ของเหลวคล้ายก้อนแป้งสีขาว หรือเป็นมูกใสที่หลั่งออกมาจากต่อมภายในมดลูก และผนังช่องคลอด มักจะมีปริมาณมากในช่วงไข่ตก และใกล้มีประจำเดือน แต่บางครั้งสีเปลี่ยนไปโดยไม่ทราบสาเหตุ เช่น สีเหลือง เขียว เทา น้ำตาล ส้ม ชมพู ซึ่งบางสีเกี่ยวข้องกับโรคร้ายบางอย่าง ทำให้เกิดความกังวลว่ากำลังเป็นโรคร้ายหรือไม่

ตกขาว มีลักษณะเป็นมูกใสๆ หรือเป็นของเหลวคล้ายแป้งสีขาวซึ่งถูกหลั่งออกมาจากต่อมต่างๆ ภายในปากมดลูกและผนังช่องคลอด มักพบได้บ่อยในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์

ตกขาวเป็นอีกสาเหตุทำให้สาวๆ หลายคนหมดความมั่นใจ และยังก่อให้เกิดความระคายเคืองบริเวณจุดซ่อนเร้นด้วย ซึ่งปกติแล้ว ตกขาวจะมีปริมาณมากในช่วงไข่ตก และกลับมาอีกครั้งในช่วงใกล้มีประจำเดือน แต่อาจอยู่ในรูปของมูกใสแทนของเหลวสีขาว

ความแตกต่างระหว่างตกขาวปกติและตกขาวผิดปกติ

ตกขาวธรรมดาจะไม่มีกลิ่นเหม็น ไม่ก่อให้เกิดอาการคัน ไม่มีความผิดปกติอื่นๆ ร่วม เช่น มีไข้

ตกขาวผิดปกติจะมีปริมาณมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อีกทั้งลักษณะสีและกลิ่นก็จะเปลี่ยนไปจากเดิม เพราะโดยจากปกติตกขาวมักจะสีใส หรือไม่มีสีเลย ซึ่งหากตกขาวมีความผิดปกติก็จะเปลี่ยนลักษณะไปดังนี้

  • สีเหลือง
  • สีเขียว
  • สีขุ่น
  • ข้นเป็นก้อน
  • เป็นมูกเลือด
  • มีหนอง
  • มีฟองปนออกมาจำนวนมาก
  • มีกลิ่นเหม็นคล้ายปลาเน่า
  • มีอาการคันและปวดแสบปวดร้อนบริเวณปากช่องคลอด

นอกจากนี้ ผู้ที่มีตกขาวผิดปกติยังอาจมีอาการไข้ขึ้น รู้สึกปวดท้องน้อย ปัสสาวะบ่อย และมีอาการเจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์ร่วมด้วย

เป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นได้กับผู้หญิงทุกคน โดยเฉพาะในช่วงที่มีการตกไข่ แต่หากตกขาวเปลี่ยนเป็นน้ำ และไหลเป็นฟองออกมา รวมถึงมีอาการคันร่วมด้วย ก็อาจเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย หรืออาการอักเสบภายในช่องคลอดได้

เกิดจากการติดเชื้อราที่มีชื่อว่า “แคนดิดา อัลบิแคนส์ (Candida albicans)” ส่งผลให้ตกขาวมีลักษณะเป็นก้อนสีขาวข้น หรือสีเหลืองขาวคล้ายนมบูด มีกลิ่นเหม็นแต่ไม่คาว อาจทำให้ปัสสาวะแสบขัด หรือแสบคันได้ในบางครั้ง มักจะเกิดกับผู้ป่วยที่มีภูมิต้านทานต่ำ หรือใช้ยาปฏิชีวนะเป็นเวลานานๆ

ตกขาวสีเหลืองสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ และจะมีลักษณะรวมถึงกลิ่นที่แตกต่างกัน ดังต่อไปนี้

  • การติดเชื้อไวรัส: มีสีเหลืองและมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ มักเกิดจากการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ เช่น เชื้อไวรัสจากโรคเริม ทำให้มีตุ่มน้ำใสๆ ขนาดเล็ก และจะแตกออกกลายเป็นแผลแสบคัน
  • การติดเชื้อแบคทีเรีย: มักมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์เช่นเดียวกัน ซึ่งจุดเด่นที่สังเกตได้ชัดเจนคือ มีกลิ่นเหม็นเหมือนกลิ่นคาวปลา และอาจมีอาการคันร่วมด้วย
  • การติดเชื้อรา: เกิดจากการติดเชื้อราแคนดิดา อัลบิแคนส์
  • การติดเชื้อหนองใน: เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า “ไนซีเรีย โกโนเรียอี (Neisseria gonorrhoeae)” ทำให้มีปริมาณตกขาวมากขึ้น มีลักษณะเป็นหนองสีเหลืองหรืออาจมีสีเขียวปน ส่งผลให้มีกลิ่นเหม็นแต่ไม่คัน อีกทั้งยังทำให้มีอาการปวดแสบขณะปัสสาวะได้
  • การติดเชื้อพยาธิในช่องคลอด: ตกขาวที่เกิดขึ้นจากสาเหตุนี้มักมีสีเขียว แต่บางครั้งก็เป็นสีเหลืองได้ นอกจากนี้ ยังมีสาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้ช่องคลอดเกิดการติดเชื้อพยาธิและทำให้เกิดตกขาวได้อีก เช่น การติดเชื้อแบคทีเรียชื่อว่า “คลามายเดีย (Chlamydia)” ซึ่งจะทำให้ปากมดลูกหรือช่องคลอดเกิดการอักเสบ แต่จะพบได้ไม่บ่อยเท่าสาเหตุอื่นๆ ที่กล่าวมาข้างต้น

สามารถเกิดขึ้นได้จากแบคทีเรียหลายชนิด แต่ส่วนมากเกิดจากการติดเชื้อพยาธิประเภทโปรโตซัวชื่อว่า “ทริโคโมแนส วาจินาลิส (Trichomonas vaginalis)” ซึ่งมักเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ ตกขาวชนิดนี้จะทำให้มีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว เป็นฟอง มีอาการคันและแสบแดงที่บริเวณอวัยวะเพศร่วมด้วย และผู้ป่วยบางรายจะมีอาการปัสสาวะขัด รวมถึงมีปริมาณตกขาวมากผิดปกติ

เกิดจากการลดลงของแบคทีเรียชนิด “แลคโตบาซิลไล (Latobacilli)” ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่ก่อโรคในช่องคลอด ทำให้แบคทีเรียก่อโรคมีจำนวนเพิ่มขึ้นจนช่องคลอดเกิดการอักเสบ

ตกขาวชนิดนี้จะมีสีขาวปนเทาอ่อน มีกลิ่นเหม็นคล้ายกับกลิ่นปลาเค็ม และมักจะมีกลิ่นรุนแรงขึ้นหลังหมดประจำเดือนใหม่ๆ หรือหลังมีเพศสัมพันธ์ นอกจากนี้ ตกขาวสีเทายังมักจะสอดคล้องกับปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ เช่น

  • การคุมกำเนิดด้วยห่วงอนามัย
  • การสวนล้างช่องคลอด
  • การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์
  • การรับประทานยาปฏิชีวนะต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ

ตกขาวสีน้ำตาลเข้ม หรือ สีน้ำตาล อาจเกิดจากตกขาวที่ปนออกมากับเลือดซึ่งออกผิดปกติ โดยเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น

  • อาการเลือดออกจากการตกไข่ มักเกิดขึ้นในช่วง 2 สัปดาห์หลังมีประจำเดือนวันแรก และอาจมีอาการปวดท้องน้อยร่วมด้วยก็ได้
  • อาการเลือดออกจากประจำเดือนที่มาช้า หรือมาไม่ตรงรอบ
  • เลือดออกที่เกิดจากการฝังตัวของตัวอ่อน มักจะเกิดขึ้นในสัปดาห์ที่ 3 หลังจากที่มีประจำเดือนวันแรก แต่จะไม่มีอาการปวดท้อง และเลือดจะมีลักษณะเป็นเลือดสีน้ำตาลที่ปริมาณไม่มากนัก

นอกจากนี้ การตั้งครรภ์นอกมดลูกก็อาจทำให้มีอาการเลือดออกกระปริบกระปรอย และมีอาการปวดท้องน้อยร่วมด้วย รวมถึงอาจเกิดจากการติดเชื้อที่ช่องคลอด หรือบริเวณปากมดลูก ซึ่งทำให้มีกลิ่นเหม็น และมีเลือดเป็นสีน้ำตาลปนมาจากเลือดเก่า

เป็นลักษณะตกขาวที่อาจอยู่ในรูปแบบเลือดสีชมพูอ่อนๆ พบได้มากในหญิงที่กำลังจะตั้งครรภ์ ซึ่งเกิดจากการฝังตัวของตัวอ่อนในโพรงมดลูก จนส่งผลให้มีเลือดไหลออกมาจากช่องคลอด เลือดชนิดนี้คนไทยมักเรียกในชื่อว่า “เลือดล้างหน้าเด็ก” แต่ว่าตกขาวชนิดนี้อาจทำให้ว่าที่คุณแม่หลายรายเข้าใจผิดว่าตนไม่ได้ตั้งครรภ์ได้ เพราะคิดว่าเลือดสีชมพูที่ออกมานั้นคือ ประจำเดือนนั่นเอง

ตกขาวอาจดูเหมือนเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้กับผู้หญิงทุกคน แต่หากคุณมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับตกขาวก็ไม่ควรมองข้าม เพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนให้คุณต้องระวังเกี่ยวกับสุขอนามัยของตนเองมากขึ้น หรือหากคุณไม่มั่นใจ ก็ควรเข้ารับการปรึกษาจากสูตินรีแพทย์ เพื่อหาทางรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสมที่สุด

ແຊລ໌ບົດຄວາມນີ້

About the Author

You may also like these