รู้หรือไม่ว่า? แม้มะเร็งเต้านมจะเป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดในผู้หญิง แต่มะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 2 ในผู้หญิง อย่าง “มะเร็งปากมดลูก” ก็เป็นอีกหนึ่งโรคร้ายที่ต้องเฝ้าระวังและหมั่นตรวจคัดกรอง เช่นกัน โดยเฉพาะผู้หญิงที่อยู่ในช่วงอายุ 30-50 ปี ซึ่งจากสถิติของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข พบว่า ตัวเลขผู้เสียชีวิตจากมะเร็งปากมดลูก มีมากถึง 4,500 รายต่อปี หรือเฉลี่ยวันละ 12 คน และยังพบผู้ป่วยรายใหม่มากถึง 8,000 คนต่อปี
HPV ไวรัสก่อมะเร็งปากมดลูก ติดเชื้อได้อย่างไร?
จากผลการศึกษาในปัจจุบัน ยืนยันชัดเจนว่า “มะเร็งปากมดลูก” ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส HPV ชนิดที่ก่อให้เกิดมะเร็ง ซึ่งเป็นเชื้อที่ติดได้ง่ายผ่านการมีเพศสัมพันธ์และการสัมผัสจากพาหะที่นำพาเชื้อเข้าสู่ช่องคลอด เมื่อเชื้อ HPV เข้าสู่ร่างกาย จะมีระยะเวลาดำเนินโรคประมาณ 10-15 ปี ระหว่างนั้นจะไม่มีอาการหรือสัญญาณเตือนใดๆ กว่าอาการจะปรากฏชัดเจน ผู้หญิงที่ได้รับเชื้อ HPV มานานก็มักจะมีอายุกว่า 30 ปีขึ้นไปแล้ว ซึ่งถึงตอนนั้นก็มักจะเป็นในขั้นรุนแรงแล้ว ดังนั้นการตรวจคัดกรองก่อนมีอาการ จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย
7 อาการมะเร็งปากมดลูก ที่ต้องรีบพบแพทย์
ผู้หญิงที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก แม้ไม่มีอาการใดๆ หรือถ้าหากมีสัญญาณเตือนเหล่านี้ ยิ่งควรรีบพบแพทย์
- มีเลือดออกทางช่องคลอด เลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์ หรือเลือดออกกะปริบกะปรอยระหว่างมีประจำเดือน
- ประจำเดือนมามาก หรือนานกว่าปกติ
- เบื่ออาหาร น้ำหนักลด โดยไม่ทราบสาเหตุ
- มีของเหลวออกทางช่องคลอด หรือตกขาว ทั้งที่เป็นน้ำและข้น เป็นมูก เป็นหนอง มีเลือดปน มีเศษเนื้อปน แม้มีกลิ่นหรือไม่มีกลิ่นก็ตาม
- ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะเป็นเลือด (พบในกรณีมะเร็งลุกลามไปกระเพาะปัสสาวะและลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย)
- ในรายที่รอยโรคมีขนาดใหญ่ อาจทำให้เกิดการปวดหน่วงบริเวณท้องน้อย ปัสสาวะขัดหรือถ่ายอุจจาระลำบาก หรือกดเบียดท่อไตทำให้ไตทำงานผิดปกติ จนอาจทำไตวายได้
- ขาบวม ซึ่งอาจหมายถึงมะเร็งปากมดลูกได้ลุกลามไปที่ต่อมน้ำเหลืองแล้ว
ใครบ้าง? ที่มีความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งปากมดลูก
- ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย (ต่ำกว่า 18 ปี)
- ผู้หญิงที่มีคู่นอนหลายคน หรือแฟนมีคู่นอนหลายคน
- คลอดบุตรมากกว่า 3 คนขึ้นไป
- เป็นโรคที่ทำให้มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ
- มีประวัติเป็นโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์มาก่อน เช่น เริม หนองใน
- ผู้หญิงที่สูบบุหรี่
วิธีการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก
การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกในปัจจุบัน มีอยู่ด้วยกัน 3 วิธี
- Pap smear (แปปเสมียร์)
เป็นการตรวจที่แพทย์จะใช้ไม้พายเก็บเนื้อเยื่อบริเวณปากมดลูก ก่อนนำไปตรวจในห้องปฏิบัติการ วิธีนี้เป็นวิธีที่ใช้กันมานาน และราคาไม่สูง แต่อาจไม่ได้แม่นยำมากนัก ความแม่นยำอาจไม่มากนัก โดยแนะนำให้ตรวจอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
- ThinPrep (ตินเพร็พ)
การตรวจตินเพร็พ (ThinPrep) เป็นวิธีตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก โดยแพทย์จะใช้เครื่องมือสอดผ่านช่องคลอด ก่อนจะป้ายเซลล์บริเวณปากมดลูกบางส่วนออกมา เพื่อส่งตรวจอย่างละเอียดที่ห้องปฏิบัติการต่อไป
ทั้งนี้ไม่ต้องรู้สึกเป็นกังวลหรืออายคุณหมอ ผู้หญิงทุกคนไม่ควรรอช้าที่จะเริ่มการตรวจคัดกรองและหมั่นสังเกตอาการมะเร็งปากมดลูกเพื่อลดความเสี่ยง เพราะภัยเงียบอย่างมะเร็งปากมดลูกจะลุกลามและรักษายากขึ้น ทำให้นอกจากการฉายแสงหรือทำเคมีบำบัดแล้ว ผู้ป่วยอาจจำเป็นต้องตัดมดลูกทิ้ง ดังนั้น ผู้หญิงที่เคยมีเพศสัมพันธ์ทุกช่วงอายุ หรือไม่เคยมีเพศสัมพันธ์แต่อายุ 30 ปีขึ้นไป ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเป็นประจำทุกปี เพราะโรคนี้มีโอกาสรักษาให้หายได้…หากตรวจพบในระยะเริ่มแรก
- HPV DNA (เอชพีวี ดีเอ็นเอ)
เป็นการตรวจแบบเจาะลึกระดับดีเอ็นเอ ซึ่งเป็นเทคนิคการตรวจระดับชีวโมเลกุลที่สามารถค้นหาเชื้อเอชพีวีได้ในระยะก่อนที่จะเกิดเป็นมะเร็งปากมดลูก ทำให้สามารถป้องกันและรักษาเชื้อเอชพีวีได้ก่อนที่เชื้อจะพัฒนาเป็นมะเร็งปากมดลูก ซึ่งวิธีนี้มีความแม่นยำสูง และสามารถเว้นการตรวจซ้ำได้ถึง 5 ปี
ป้องกันอย่างไร ให้ห่างไกลมะเร็งปากมดลูก
- หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์หลายคู่นอน
- ควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์
- เมื่อมีอาการผิดปกติ เช่น ตกขาวผิดปกติ เลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์ ควรมาพบแพทย์
- หมั่นตรวจคัดกรองมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งปากมดลูกอย่างน้อยปีละครั้ง