ผิวหนังอักเสบเรื้อรัง เป็นปัญหาผิวหนังที่เกิดขึ้นเป็นเวลานาน ส่งผลให้เกิดอาการผิวแห้ง ผื่นแดง เป็นตุ่ม ผิวอักเสบ คันรุนแรง และผิวบอบบางแพ้ง่าย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันและอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่อสุขภาพอื่น ๆ เช่น แพ้อาหาร โรคไข้ละอองฟาง โรคหอบหืด การติดเชื้อที่ผิวหนัง สีผิวไม่สม่ำเสมอ ปัญหาการนอนหลับ ปัญหาสุขภาพจิต ซึ่งการดูแลตัวเองอาจเป็นวิธีที่จะช่วยป้องกันปัญหาผิวหนังอักเสบเรื้อรังและภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงอื่น ๆ ได้
ผิวหนังอักเสบเรื้อรัง เป็นอย่างไร
ผิวหนังอักเสบเรื้อรัง เป็นภาวะทางผิวหนังที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย ทำให้มีอาการผิวแห้ง คัน ผิวหนา ผิวอักเสบ และผิวบอบบางแพ้ง่าย โดยปัญหาผิวหนังอักเสบเรื้อรังอาจมีแนวโน้มที่อาการจะลุกลามและรุนแรงขึ้น จนอาจทำให้เกิดความระคายเคืองทั่วร่างกาย ยิ่งไปกว่านั้นอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอาการแพ้อาหาร โรคไข้ละอองฟาง และโรคหอบหืดเพิ่มขึ้น

สาเหตุของอาการผิวหนังอักเสบเรื้อรัง
ผิวหนังอักเสบเรื้อรังมีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงของยีนภายในร่างกายที่ทำให้สภาพผิวหนังอ่อนแอ ผิวจึงไม่สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นและทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันเชื้อโรค สารระคายเคือง และสารก่อภูมิแพ้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในบางกรณี ผิวหนังอักเสบเรื้อรังอาจมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนังมากเกินไป จนลดประสิทธิภาพการทำงานของผิวหนัง ส่งผลให้ผิวหนังอ่อนแอและเกิดการอักเสบขึ้น ส่งผลให้เกิดปัญหาผิวหนังอักเสบเรื้อรังขึ้น ภาวะแทรกซ้อนของผิวหนังอักเสบเรื้อรัง
ภาวะแทรกซ้อนของผิวหนังอักเสบเรื้อรัง
- แพ้อาหาร ผู้ที่เป็นผิวหนังอักเสบเรื้อรังมักมีอาการแพ้อาหารเกิดขึ้น ซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการลมพิษกำเริบ เช่น อาการคัน รอยแดง มีอาการปวด ผิวหนังบวม
- โรคหอบหืด และโรคไข้ละอองฟาง ผู้ที่เป็นผิวหนังอักเสบเรื้อรังบางคนอาจมีอาการหอบหืดและไข้ละอองฟางเกิดขึ้น ซึ่งอาการของโรคทั้ง 2 ชนิดนี้ อาจเกิดขึ้นก่อนหรือหลังมีปัญหาผิวหนังอักเสบเรื้อรัง
- ผื่นแพ้สัมผัส อาจพบได้บ่อยในผู้ที่เป็นผิวหนังอักเสบเรื้อรัง โดยผื่นแพ้สัมผัสมักเกิดขึ้นจากการสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ต่าง ๆ เช่น สบู่ ผงซักฟอง ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด เครื่องสำอาง ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการผื่นแดง คัน และระคายเคืองผิว
- การติดเชื้อที่ผิวหนัง การเกาผิวหนังสามารถทำให้ผิวแตกและเกิดแผลเปิด ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และเชื้อไวรัส ที่อาจก่อให้เกิดโรคอื่น ๆ เพิ่มขึ้น
- โรคผิวหนังจากการเกา เป็นภาวะผื่นผิวหนังอักเสบเรื้อรังที่ทำให้ผิวหนา คัน หยาบกร้าน และอาจทำให้ผิวหนังเปลี่ยนสี
- สีผิวไม่สม่ำเสมอ ผิวด่างเป็นหย่อม ๆ ภาวะนี้มักเกิดขึ้นเมื่อผื่นบริเวณผิวหนังหายแล้ว แต่ยังคงทิ้งรอยดำหลังการอักเสบเอาไว้ ซึ่งอาจพบได้บ่อยในผู้ที่มีผิวสีเข้ม
- ผิวหนังที่มือระคายเคืองหรืออักเสบ โดยเฉพาะผู้ที่เหงื่อออกมือมาก ๆ หรือสัมผัสกับสารเคมีในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น น้ำยาทำความสะอาด สบู่ ผงซักฟอก ยาฆ่าเชื้อ ยาฆ่าแมลง
- ปัญหาการนอนหลับ อาการคันที่เกิดขึ้นอย่างเรื้อรังและรุนแรง อาจรบกวนการนอนหลับ ส่งผลทำให้ประสิทธิภาพในการนอนแย่ลงได้
- ปัญหาสุขภาพจิต อาการของผิวหนังอักเสบเรื้อรัง เช่น ผิวแห้ง ผื่นแดง คัน ผิวบอบบางแพ้ง่าย อาจทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะซึมเศร้าและมีความวิตกกังวลได้ เนื่องจากปัญหาผื่นแดงและอาการคันที่เกิดขึ้นเป็นเวลานาน สามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตได้
การดูแลรักษาผิวหนังอักเสบเรื้อรัง
การดูแลรักษาสุขภาพผิวและสุขภาพร่างกายอาจป้องกันการกำเริบของโรค และภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ โดยการดูแลรักษาผิวหนังอักเสบเรื้อรังอาจทำได้ ดังนี้
- หลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการผิวหนังอักเสบเรื้อรัง เช่น ความร้อน อากาศเย็นจัด แสงแดด เหงื่อออกมาก เพื่อป้องกันอาการกำเริบรุนแรง
- เข้ารับการรักษาอย่างสม่ำเสมอ ด้วยการรับประทานยาแก้แพ้ติดต่อกันตามที่คุณหมอแนะนำอย่างเคร่งครัด และรับประทานยาลดอาการคันเมื่อมีอาการคันผิวหนัง เนื่องจากการเกาผิวหนังอาจทำให้ผื่นผิวหนังอักเสบกำเริบรุนแรงขึ้น นอกจากนี้ คุณหมออาจสั่งจ่ายยาสเตียรอยด์เพื่อช่วยลดการอักเสบของผื่นผิวหนังอักเสบเรื้อรัง
- ให้ความชุ่มชื้นกับผิว ควรให้ความชุ่มชื้นกับผิวอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง โดยเฉพาะหลังอาบน้ำ ด้วยครีม โลชั่น หรือมอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีส่วนผสมให้ความชุ่มชื้น เช่น เชียบัตเตอร์ ขี้ผึ้ง และควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ และน้ำหอม ที่อาจก่อให้เกิดความระคายเคืองของผิวหนัง
- หลีกเลี่ยงการเกา เพราะการเกาอาจทำให้อาการกำเริบรุนแรงขึ้น และอาจเกิดแผลเปิดที่เพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อที่ผิวหนังได้ง่ายขึ้น
- สวมใส่เสื้อผ้าที่เหมาะสม ควรเลือกใส่เสื้อผ้าให้เหมาะสมกับสภาพอากาศ ไม่รัดแน่นเกินไป ระบายอากาศได้ดี เพื่อลดการสะสมของเหงื่อ ความอับชื้น และเชื้อแบคทีเรีย ไม่ควรใส่เสื้อผ้าเป็นขนหรือมีส่วนระคายเคืองผิวหนัง เพราะกระตุ้นให้เกิดผื่นได้ นอกจากนี้ ควรเลือกใช้ผงซักฟอกและน้ำยาปรับผ้านุ่มสูตรอ่อนโยนต่อผิว เพื่อป้องกันอาการแพ้และความระคายเคือง
- จัดการกับความเครียด ความเครียดและความวิตกกังวลอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต และอาจเป็นตัวกระตุ้นให้อาการผิวหนังอักเสบกำเริบรุนแรงได้ จึงควรจัดการกับความเครียดด้วยการทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น นั่งสมาธิ โยคะ วาดรูป ฟังเพลง อ่านหนังสือ นอนหลับ
ผิวหนังอักเสบ (Eczema หรือ Dermatitis) สาเหตุ อาการ วิธีรักษา

ผิวหนังอักเสบ (Eczema หรือ Dermatitis) เป็นโรคผิวหนังเรื้อรังที่พบได้บ่อย เกิดจากการอักเสบหรือการระคายเคืองที่พบบ่อย ได้แก่ โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังหรือโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ (Atopic dermatitis หรือ Atopic eczema) เนื่องจากผิวหนังสัมผัสกับสิ่งกระตุ้นหรือสารก่อภูมิแพ้ เช่น สารเคมี ร่วมกับเกิดจากกรรมพันธุ์ อาการของโรคผิวหนังอักเสบที่พบมักแตกต่างกันไปตามสาเหตุ แต่ที่พบได้ทั่วไป เช่น มีผื่นแดง มีตุ่มใส ผิวแห้ง คันผิวหนัง โดยทั่วไปสามารถบรรเทาอาการของโรคผิวหนังอักเสบได้ด้วยการทายาเพื่อลดผดผื่นและอาการคัน แม้โรคนี้จะไม่ใช่โรคติดต่อและส่วนใหญ่สามารถบรรเทาอาการเองได้ แต่ก็ควรให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเองเพื่อลดความเสี่ยงในการโรค ทั้งนี้ หากรักษาด้วยยาแล้วอาการยังไม่ทุเลาหรือรุนแรงกว่าเดิม ควรเข้ารับการรักษากับคุณหมอผู้เชี่ยวชาญโดยเร็วที่สุด
ผิวหนังอักเสบ คืออะไร
โรคผื่นผิวหนังอักเสบ (Eczema หรือ Dermatitis) เป็นโรคผิวหนังเรื้อรังที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในเด็ก มักทำให้เกิดผื่นแดง ตุ่มนูนพอง หรือตุ่มน้ำที่ผิวหนัง ผิวหนังบริเวณที่อักเสบเปลี่ยนเป็นสีแดงหรือน้ำตาลเข้ม รู้สึกระคายเคืองเมื่อสัมผัส และอาจแห้งลอก บวมแดง หรือคัน โดยเฉพาะตามข้อพับของร่างกายและผิวหนังบริเวณที่เสียดสีบ่อย ๆ เช่น คอ ข้อพับแขน ข้อพับขา รักแร้ ร่องก้น
โรคผิวหนังอักเสบมีด้วยกันหลายชนิด ที่พบบ่อย เช่น โรคเซ็บเดิร์ม (Seborrheic Dermatitis) โรคผื่นผิวหนังอักเสบชนิดตุ่มใส (Dyshidrosis) โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic dermatitis) โรคผื่นแพ้สัมผัส (Contact dermatitis) โดยทั่วไป ระดับความรุนแรงของโรคอาจมีทั้งแบบไม่แสดงอาการ แสดงอาการน้อย ไปจนถึงอาการรุนแรง ผื่นผิวหนังอักเสบลุกลามมาก โดยเฉพาะเมื่อสัมผัสสิ่งกระตุ้น เช่น สภาพอากาศ สารเคมี ควันบุหรี่
ผิวหนังอักเสบเกิดจากอะไร
แม้จะยังไม่สามารถระบุสาเหตุของผิวหนังอักเสบที่แน่ชัดได้ แต่โรคนี้อาจเกิดจากปัจจัยดังต่อไปนี้
- ระบบภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อสิ่งเร้าหรือสิ่งที่ระคายเคืองผิวหนัง
- ผิวหนังของผู้ป่วยไวต่อสภาพแวดล้อมรอบตัว เช่น ความเย็น ความร้อน ฝุ่น ควันบุหรี่
- สมาชิกในครอบครัวมีประวัติเป็นภูมิแพ้หรือผิวหนังอักเสบ (กรรมพันธุ์)
ทั้งนี้ หากมีสภาวะต่อไปนี้ อาจกระตุ้นให้เกิดอาการของโรคผื่นผิวหนังอักเสบได้มากขึ้น
- สวมใส่เสื้อผ้าเนื้อหยาบหรือสากผิว จนผิวระคายเคือง
- เผชิญสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อย ร้อนหรือหนาวมากเกินไป
- สัมผัสสารเคมีในชีวิตประจำวัน เช่น สบู่ ยาสระผม น้ำยาล้างจาน
- สัมผัสขนของสัตว์บางชนิด
- ติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจหรือเป็นไข้หวัด ที่ทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
- เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ เช่น วิตกกังวล เครียด
- การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
การรักษาผิวหนังอักเสบ
วิธีการรักษา ผิวหนังอักเสบ อาจมีดังนี้
- การใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของสารให้ความชุ่มชื้น เช่น กลีเซอรีน (Glycerin) กรดแลคติก (Lactic acid) ยูเรีย (Urea) ทาผิวหนังบริเวณที่อักเสบเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว เนื่องจากผิวบริเวณนั้นจะแห้งและระคายเคืองเป็นพิเศษ
- การใช้สเตียรอยด์ (Topical Steriod) และยาแก้แพ้ชนิดรับประทาน (Antihistamine) เพื่อบรรเทาอาการระคายเคือง บวมแดงของผิวหนัง และอาจช่วยลดอาการคันได้ สำหรับผู้ที่ตั้งครรภ์และให้นมบุตรควรปรึกษาคุณหมอก่อนใช้ยาทุกครั้ง
- การทาคาลาไมน์เพื่อลดอาการระคายเคืองและคันบริเวณผิวหนังในกรณีที่ผิวหนังอักเสบลุกลาม คุณหมอหรือเภสัชกรอาจแนะนำให้ประคบผิวด้วยผ้าชุบน้ำเย็นหรือถุงประคบเย็น น้ำเย็นจะช่วยลดอาการคันและช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหนังช่วยให้ครีมหรือยาทาผิวมีประสิทธิภาพดีขึ้น
วิธีดูแลตัวเองเมื่อเป็น ผิวหนังอักเสบ
วิธีดูแลตัวเองเมื่อผิวหนังอักเสบ อาจมีดังนี้
- ทาครีมหรือใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะกับสภาพผิว เพื่อช่วยให้ผิวชุ่มชื้น
- งดเกาผิวบริเวณที่คันหรืออักเสบ เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ เกิดแผล หรืออาการลุกลาม
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสสิ่งเร้าหรือสารก่อภูมิแพ้ เช่น เหงื่อ สบู่ ผงซักฟอก ฝุ่น ละอองเกสร
- อาการผื่นผิวหนังอักเสบอาจเกิดจากภาวะเครียดหรือวิตกกังวล จึงควรหาวิธีคลายเครียด โดยอาจปรึกษาคุณหมอหรือผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้วิธีที่เหมาะสมและป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ตามมา
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทาครีมกันแดดที่มีค่าเอสพีเอฟ 50 ขึ้นไป ก่อนออกไปข้างนอกอย่างน้อย 15 นาทีและทาซ้ำทุก ๆ 2 ชั่วโมง โดยเฉพาะเมื่อแดดจัด เหงื่อออกมาก หรือเปียกน้ำ และพยายามอยู่ในที่ร่ม เนื่องจากแสงแดดอาจทำให้ผิวที่อักเสบระคายเคืองได้
โรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อรา สาเหตุ อาการ และการรักษา

โรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อรา มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อราชนิดต่าง ๆ ที่ผิวหนัง สามารถเกิดขึ้นได้ทั่วทั้งร่างกาย โดยมีปัจจัยเสี่ยงจากการดูแลสุขอนามัยที่ไม่ถูกต้อง หรือการสัมผัสกับสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อรา จนส่งผลให้ผิวหนังอักเสบ คัน ระคายเคือง บางคนอาจมีอาการรุนแรงจนทำให้เกิดแผลได้ ดังนั้น จึงควรเข้ารับการวินิจฉัยและรักษาโดยคุณหมอ พร้อมปฏิบัติตามคำแนะนำของคุณหมอเพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อรา
สาเหตุ
สาเหตุของโรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อรา
สาเหตุของโรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อราเกิดขึ้นจากการติดเชื้อราชนิดต่าง ๆ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการที่แตกต่างกัน ดังนี้
- กลาก เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อราไตรโครไฟตอน ไมโครสปอร์รัม (Trichophyton Microsporum) และเอพิเดอร์โมไฟตอน (Epidermophyton) ที่อาศัยอยู่ในเซลล์ชั้นนอกของผิวหนัง สามารถติดต่อผ่านทางคนสู่คน สัตว์สู่คน รวมถึงการสัมผัสกับสิ่งรอบตัวที่ปนเปื้อนเชื้อรา เช่น ดิน ผ้าขนหนู ผ้าปูที่นอน แปรงหวีผม สามารถสังเกตกลากได้จากรอยวงสีแดง น้ำตาล หรือม่วง บนผิวหนัง มีขุยสีขาวหรือตกสะเก็ดเล็กน้อยบริเวณขอบผื่น บริเวณแขน ขา ลำตัว และก้น ร่วมกับอาการคัน บางคนอาจมีรอยกลากกระจายทั่วร่างกาย
- น้ำกัดเท้า หรือฮ่องกงฟุต เกิดจากการติดเชื้อราชนิดเดียวกับกลาก ซึ่งอาจส่งผลกระทบกับเท้าข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้ง 2 ข้าง ทำให้เกิดอาการเจ็บแสบ มีสะเก็ด ผิวลอก แผลพุพอง ผิวเท้าแตก อาการคัน สีผิวเปลี่ยนเป็นสีแดง ม่วง
- เกลื้อน เกิดจากการเชื้อรามาลาสซีเซีย (Malassezia) ทำให้เกิดจุดเล็ก ๆ รอบรูขุมขนหรืออาจรวมตัวกันเป็นปื้นขนาดใหญ่ บางคนอาจมีสีซีดหรือสีเข้มกว่าสีผิวปกติ พบได้บ่อยในบริเวณผิวหนังที่มีการผลิตน้ำมันปริมาณมาก เช่น ใบหน้า คอ หน้าอก และหลัง
- การติดเชื้อราแคนดิดา (Candida) พบได้มากในช่องปาก ลำคอ ลำไส้ และช่องคลอด ทำให้เกิดจุดสีขาวบริเวณกระพุ้งแก้ม ลิ้น เพดานปาก ลำคอ อาการแสบภายในช่องปากขณะรับประทานอาหาร รับรสชาติไม่ได้ มีรอยแตกที่มุมปาก หากเป็นบริเวณช่องคลอดอาจมีอาการระคายเคือง ตกขาวเป็นน้ำใสหรือข้น และแสบร้อนช่องคลอดขณะปัสสาวะหรือมีเพศสัมพันธ์
- เชื้อราที่เล็บ คือการติดเชื้อรากลุ่ม Dermatophyte ที่พบได้บ่อยตามสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ที่มีความชื้น เช่น สระน้ำ ห้องอาบน้ำ สามารถเกิดได้ทั้งกับเล็บมือและเล็บเท้า ทำให้เล็บหนาหรือเล็บเปราะบาง แตกหักง่าย เล็บผิดรูป มีกลิ่นเหม็น มีขุยหนาใต้เล็บ และเล็บอาจเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล เหลือง ขาว
ปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อรา
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อรา มีดังนี้
- ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ พบได้มากในผู้ป่วยที่รักษาด้วยเคมีบำบัด ผู้ที่ปลูกถ่ายอวัยวะ รวมถึงผู้ที่ใช้ยารักษาโรคเอดส์ โรคมะเร็ง ปัญหาเกี่ยวกับตับอ่อน
- การใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น เช่น เสื้อผ้า ผ้าห่ม ผ้าเช็ดตัว
- การออกกำลังกายหรือเล่นกีฬา ที่ต้องสัมผัสกับผู้อื่น
- การสวมเสื้อผ้ารัดแน่น ทำให้ระบายอากาศได้ไม่ดี
- สภาพอากาศที่อับชื้น
- การเป็นโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน โรคอ้วน
- การไม่สวมรองเท้าเมื่อสัมผัสกับพื้นผิวที่เปียกน้ำ เช่น รอบสระว่ายน้ำ ห้องอาบน้ำรวม แอ่งน้ำขัง
การวินิจฉัยและการรักษา
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาคุณหมอทุกครั้งเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
การวินิจฉัยโรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อรา
คุณหมออาจวินิจฉัยโรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อราด้วยการนำตัวอย่างเศษผิวหนังบริเวณที่ติดเชื้อไปตรวจในห้องปฏิบัติการเพื่อหาดูว่าเป็นเชื้อชนิดใด
การรักษาโรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อรา
การรักษาโรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อรา อาจรักษาได้ด้วยการทายาต้านเชื้อในรูปแบบครีม โลชั่น หรือขี้ผึ้ง บริเวณที่มีอาการเป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ โดยยาต้านเชื้อราที่คุณหมอแนะนำ มีดังนี้
- โคลไตรมาโซล (Clotrimazole) คือยาที่ใช้รักษาโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อรา ใช้ทาบริเวณผิวหนังที่ได้รับผลกระทบ อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อรา
- คีโตโคนาโซล (Ketoconazole) เป็นยาต้านเชื้อรามีในรูปแบบครีมและแชมพู ใช้สำหรับต้านเชื้อราที่ผิวหนังและหนังศีรษะ ช่วยป้องกันการเกิดเชื้อราซ้ำ สำหรับการใช้ทาบนผิวหนัง ควรทายาก่อนลงโลชั่นหรือครีมอื่น ๆ เป็นเวลา 30 นาที วันละ 1 ครั้ง ทาต่อเนื่อง 2-4 สัปดาห์ สำหรับยาแบบแชมพู ควรใช้สระผมสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ต่อเนื่องกัน 2-4 สัปดาห์ และควรใช้จนกว่าอาการจะดีขึ้น หรือจนกว่าคุณหมอจะอนุญาตให้หยุดใช้
- ไอทราโคนาโซล (Itraconazole) เป็นยาที่ช่วยรักษาการติดเชื้อราที่รุนแรง ใช้เพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อรา มีในรูปแบบสารละลาย และแคปซูล ควรรับประทานวันละ 1-2 ครั้ง สำหรับผู้ที่มีกรดในกระเพาะอาหารมาก ควรรับประทานยานี้ก่อนหรือหลังจากยาลดกรด 1-2 ชั่วโมง
- ฟลูโคนาโซล (Fluconazole) คือยายับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราบางชนิด เป็นยาในรูปแบบรับประทานวันละ 1 ครั้ง
- ซีลีเนียม ซัลไฟด์ (Selenium sulfide) เป็นยาในรูปแบบโลชั่นและแชมพู เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคกลาก เกลื้อน และการติดเชื้อราอื่น ๆ โดยใช้ทาบนผิวหนังวันละ 1 ครั้ง เป็นเวลา 7 วัน แต่สำหรับผู้ที่เป็นโรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อราบนหนังศีรษะ ควรใช้สัปดาห์ละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 2 สัปดาห์ จากนั้นลดลงเหลือสัปดาห์ละ 1 ครั้งใน สัปดาห์ถัดไป
การปรับไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเอง
การปรับไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเองเพื่อป้องกันโรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อรา
การปรับไลฟ์สไตล์เพื่อป้องกันโรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อรา อาจทำได้ดังนี้
- ไม่ควรใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดตัว เสื้อผ้า หวี
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์เลี้ยง เพราะเชื้อราอาจอยู่บนผิวหนังของสัตว์และแพร่มาสู่คนได้
- ควรล้างมือให้สะอาดบ่อย ๆ โดยเฉพาะหลังจากสัมผัสกับสิ่งรอบตัว เช่น ประตู ราวจับบันได ดิน ทราย สัตว์เลี้ยง
- สวมเสื้อผ้าที่ทำจากผ้าฝ้าย และไม่ควรใส่เสื้อผ้าหลายชั้นในสภาพอากาศร้อน เพราะอาจทำให้เหงื่อออกมาก จนอับชื้น และมีสิ่งสกปรกสะสมใต้ร่มผ้า
- เช็ดตัวหลังอาบน้ำให้แห้งสนิท เพื่อลดความอับชื้นที่อาจเป็นตัวกระตุ้นการเจริญเติบโตของเชื้อรา
- หลีกเลี่ยงการเดินเท้าเปล่า ควรสวมร้องเท้าเมื่ออยู่ในบริเวณที่มีน้ำขัง เช่น ขอบสระว่ายน้ำ ห้องอาบน้ำรวม และควรล้างเท้าให้สะอาดและเช็ดเท้าให้แห้ง
- ตัดเล็บเท้าและเล็บมือให้สั้นเพื่อลดการสะสมของเชื้อราในเล็บ และไม่ควรใช้กรรไกรตัดเล็บร่วมกับผู้อื่น
- สวมรองเท้าที่พอดีกับขนาดเท้า เพื่อป้องกันการขับเหงื่อที่มากเกินไปขณะใส่ และควรทิ้งหรือทำความสะอาดรองเท้าเก่าเพราะอาจมีการสะสมของเชื้อรา
- ควรใช้ยาทาเชื้อราตามที่คุณหมอแนะนำอย่างสม่ำเสมอจนกว่าจะหาย
☎️ ปรึกษาสุขภาพ : 021 752 666
📍 ที่ตั้ง : บ้านเขาย้อย อำเภอศรีสัตตนาค
นครหลวงเวียงจันทน์ (ใกล้วัดศรีเมือง)
💡 นัดหมายออนไลน์ ลงทะเบียนฟรี รับสิทธิพิเศษในการดูแล