ริดสีดวงทวาร ถ่ายเป็นเลือดจนเสี่ยงภาวะเลือดจาง

โรคริดสีดวงทวารเป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยในคนทั่วไป โรคนี้ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่สบายตัวและอาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ป่วย จึงไม่ควรละเลยและรีบดูแลตนเองอย่างถูกวิธี

ริดสีดวงทวาร (Hemorrhoids) คือ การมีกลุ่มของหลอดเลือดดำบริเวณทวารหนักโป่งพองและอาจยื่นออกมา

ริดสีดวงทวารแบ่งออกเป็น 2 ชนิด และแต่ละชนิดมีระดับความรุนแรงแตกต่างกัน ได้แก่

1) ริดสีดวงทวารภายใน (Internal Hemorrhoids) คือ ริดสีดวงทวารที่เกิดภายในรูทวาร ซึ่งอาจจะไม่โผล่ออกมาให้เห็นและคลำไม่ได้ ถูกคลุมด้วยเยื่อบุลำไส้จะไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดในขณะที่ยังไม่มีอาการแทรกซ้อน แบ่งระดับความรุนแรงออกเป็น 4 ระดับ คือ

  • ระดับที่ 1 : ริดสีดวงอยู่ภายในและไม่มีการยื่นออกมานอกทวารหนัก
  • ระดับที่ 2 : ริดสีดวงยื่นออกมานอกทวารหนักเมื่อถ่ายอุจจาระ แต่สามารถหดกลับเข้าไปด้านในเองได้
  • ระดับที่ 3 : ริดสีดวงยื่นออกมานอกทวารหนักและต้องใช้มือดันกลับเข้ าไปด้านใน
  • ระดับที่ 4: ริดสีดวงยังคงยื่นออกมานอกทวารหนัก แม้จะใช้มือดันกลับเข้าไปแล้วก็ตาม

2) ริดสีดวงทวารภายนอก (External Hemorrhoids) คือ ริดสีดวงที่เกิดขึ้นบริเวณปากรอยย่นรอบ ๆ ทวารหนัก สามารถมองเห็นและคลำได้ มีเส้นประสาทรับความเจ็บปวด ผู้ป่วยจึงมักมาด้วยอาการปวด แม้ไม่มีการแบ่งระดับความรุนแรงชัดเจนเหมือนริดสีดวงทวารภายใน แต่มีอาการต่าง ๆ เช่น เจ็บปวด บวม อักเสบ เลือดออก ฯลฯ

  1. ปัจจัยทางพันธุกรรม พบว่า ยีน FOXC2 gene บนโครโมโซมคู่ที่ 16 อาจเกี่ยวข้องกับการเกิดของโรคและเส้นเลือดขอดที่ขา
  2. อาชีพ ผู้ที่มีอาชีพต้องยืนนาน ๆ มีผลทำให้ความดันเลือดในหลอดเลือดดำบริเวณปากทวารไหลกลับสู่หลอดเลือดดำในช่องท้องช้าลง โดยทั่วไปหลอดเลือดดำมีลิ้นเพื่อให้เลือดดำไหลกลับได้ทางเดียว แต่เมื่อการไหลของเลือดดำช้าลงประกอบกับมีความดันในช่องท้องสูงจึงเกิดการคั่งของหลอดเลือดดำบริเวณกลุ่มหลอดเลือดปากรูทวารหนัก ส่งผลให้กลุ่มหลอดเลือดดำโป่งพองจนเกิดอาการของโรคริดสีดวงได้
  3. ภาวะแทรกซ้อนของโรคอื่น  เช่น โรคตับแข็ง ซึ่งจะมีอาการท้องมานในระยะสุดท้าย และเมื่อมีน้ำในช่องท้องมาก ๆ จะไปกดการไหลเวียนเลือดในช่องท้อง เป็นสาเหตุทำให้หลอดเลือดดำไหลกลับเข้าช่องท้องได้ไม่ดีนัก
  1. มีเลือดออกถ้าท้องผูกมีโอกาสเลือดจะออกมากยิ่งขึ้น
  2. ก้อนยื่นจากก้น อาจหดกลับเข้าไปภายในทวารหนักได้เอง หรือต้องเอานิ้วมือดันกลับเข้าไปถึงจะเข้าไป
  3. บวม อักเสบ ก้นแฉะ คัน ติดเชื้อโรค
  4. ซีด อ่อนเพลีย วิงเวียนศีรษะ หน้ามืด
  5. มีเลือดแดงในโถส้วม หรือเลือดหยดตามหลังการถ่ายอุจจาระ

ผู้ป่วยส่วนมากจะมีเลือดสดออกทางทวารหนักระหว่างที่ถ่ายอุจจาระ สังเกตได้จากการมีเลือดเปื้อนกระดาษชำระ หรือมีเลือดปนออกมากับอุจจาระ หรือมีเลือดไหลออกมาเป็นหยด ทั้งนี้อาจจะมีอาการเจ็บทวารหนักหรือไม่ก็ได้ ถ้าเกิดอาการอักเสบหรือหัวยื่นออกมาข้างนอก อาจรู้สึกเจ็บรุนแรงจนทำให้ยืน นั่ง หรือเดินไม่สะดวก และอาจคลำพบก้อนเนื้อที่เป็นหัวบริเวณปากทวารหนักในรายที่เป็นเรื้อรังหรือมีเลือดออกมาก ผู้ป่วยอาจมีอาการซีดจากการเสียเลือดได้

หากผู้ป่วยมีเลือดออกนานกว่า 1 สัปดาห์ หรือเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย หรือสงสัยมีโรคอื่นร่วมด้วย หรือพบในคนอายุมากกว่า 40 ปี ควรพบแพทย์และส่องกล้องตรวจทวารหนักถ้าหากสงสัยเป็นมะเร็งของลำไส้ใหญ่ และในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการซีดอาจต้องเข้ารับการผ่าตัดริดสีดวง

การรักษาริดสีดวงทวารขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงและอาการของผู้ป่วย ประกอบไปด้วย การรักษาริดสีดวงด้วยตนเองและการรักษาริดสีดวงโดยแพทย์ ได้แก่

วิธีรักษาริดสีดวงด้วยตัวเองสามารถทำได้โดย

  • ● ระวังอย่าให้ท้องผูก ดื่มน้ำมาก ๆ และกินผักผลไม้มาก ๆ ถ้าท้องผูกให้กินยาระบายเป็นยารักษา ริดสีดวง เช่น ยาระบายแมกนีเซีย ดีเกลือ อีแอลพี หรือสารเพิ่มกากใย
  • ● ถ้าปวดมากเนื่องจากมีการอักเสบ ให้กินยาแก้ปวด นั่งแช่ในน้ำอุ่นวันละ 2 – 3 ครั้ง ๆ ละ 10 – 15 นาที และใช้ยาริดสีดวง ทั้งยาเหน็บหรือยาทาริดสีดวงทวารเพื่อบรรเทาเป็นเวลาประมาณ 7 – 10 วัน
  • ● หากหัวริดสีดวงออกมาข้างนอกให้ใช้ปลายนิ้วดันหัวกลับเข้าไป ถ้าดันกลับไม่ได้แนะนำให้ไปโรงพยาบาล)

ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นมากแพทย์อาจพิจารณาการรักษาด้วยวิธีต่อไปนี้

  • ● การฉีดยาเข้าที่หัวให้ฝ่อไป วิธีนี้สะดวก ไม่เจ็บปวด มักจะฉีดสัปดาห์ละครั้ง ประมาณ 3 – 5 ครั้ง
  • ● ใช้ยางรัด ทำให้หัวฝ่อ
  • ● ใช้แสงเลเซอร์รักษา
  • ● รักษาโดยการผ่าตัด

การผ่าตัดเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาโรคริดสีดวงทวารที่อาจถูกใช้ในกรณีที่การรักษาด้วยยาหรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้วไม่สามารถบรรเทาอาการได้หรือมีภาวะที่ต้องการการรักษาอย่างเร่งด่วน ได้แก่

  1. การผ่าตัดริดสีดวงทวาร (Hemorrhoidectomy)
    มักใช้เมื่อริดสีดวงทวารมีขนาดใหญ่ หรือมีอาการรุนแรงและไม่สามารถรักษาด้วยวิธีการอื่นได้ โดยการผ่าตัดนี้จะทำการตัดเนื้อเยื่อริดสีดวงทวารที่มีปัญหาออก หลังผ่าตัดผู้ป่วยอาจต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวหลังผ่าตัดระหว่าง 1 – 2 สัปดาห์ โดยต้องระวังการทำกิจกรรมที่ต้องใช้แรงมากและการดูแลแผลผ่าตัดอย่างต่อเนื่อง
  1. การผ่าตัดริดสีดวงทวารด้วยเลเซอร์ (Laser Hemorrhoidoplasty / Laser Hemorrhoidectomy)
    การผ่าตัดรักษาริดสีดวงทวารด้วยเลเซอร์เป็นการใช้แสงเลเซอร์ในการตัดและทำลายเนื้อเยื่อที่เป็นริดสีดวงทวาร โดยแสงเลเซอร์จะช่วยตัดเนื้ออย่างถูกต้องตรงตำแหน่ง ลดการเสียเลือดระหว่างการผ่าตัด และลดการอักเสบของเนื้อเยื่อบริเวณข้างเคียง ทำให้การฟื้นตัวของผู้ป่วยเป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น วิธีนี้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เพราะมีข้อดีมากมาย ได้แก่

    • ลดความเจ็บปวด การผ่าตัดริดสีดวงทวารด้วยเลเซอร์เจ็บปวดน้อยกว่าเมื่อเทียบกับการผ่าตัดแบบดั้งเดิม
    • ลดการเสียเลือดระหว่างการผ่าตัด เพราะการใช้เลเซอร์ช่วยให้ตัดเนื้อเยื่อได้อย่างถูกต้อง
    • ตรงตำแหน่ง การใช้เลเซอร์สามารถตัดเนื้อเยื่อได้อย่างถูกต้อง ช่วยลดความเสียหายต่อเนื้อเยื่อรอบข้าง
    • ฟื้นตัวเร็ว ผู้ป่วยสามารถฟื้นตัวได้เร็วกว่า เจ็บน้อยกว่า กลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ในระยะเวลาอันสั้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของริดสีดวงและจำนวนริดสีดวงของผู้ป่วยแต่ละราย
  2. การผ่าตัดริดสีดวงทวารด้วยคลื่นวิทยุความถี่สูง Radio Frequency Coagulation
    การผ่าตัดริดสีดวงทวารโดยใช้เทคนิค Radio Frequency Coagulation เป็นการใช้ยาชาเฉพาะที่ร่วมกับคลื่นวิทยุความถี่สูง Radio Frequency จี้ไปที่ก้อนริดสีดวงเพื่อให้ก้อนริดสีดวงฝ่อลง เจ็บน้อย ฟื้นตัวเร็ว กลับบ้านได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาล
  1. ผู้ป่วยจะต้องได้รับการตรวจร่างกายและประเมินสภาพสุขภาพทั่วไปเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีข้อห้ามในการผ่าตัด
  2. ผู้ป่วยควรอาบน้ำ สระผม ตัดเล็บให้สั้นในคืนก่อนวันผ่าตัด
  3. งดน้ำและอาหารหลังเที่ยงคืนในคืนก่อนวันผ่าตัด
  4. พักผ่อนให้เต็มที่ในคืนก่อนวันผ่าตัดอาจจะได้รับยาเพื่อช่วยคลายความวิตกกังวลและได้พักผ่อน
  5. ขณะทำการผ่าตัด ผู้ป่วยจะไม่รู้สึกเจ็บปวด เพราะแพทย์จะใช้ยาระงับความรู้สึกช่วงท่อนล่างของร่างกายโดยการฉีดยาชาเข้าช่องไขสันหลัง
  1. หลังผ่าตัดใหม่ ๆ จะรู้สึกชาที่ขา ก้น และสะโพก เนื่องจากฤทธิ์ยาชายังคงอยู่
  2. ท่านอนหลังผ่าตัด ควรนอนในท่าตะแคงข้างใดข้างหนึ่งเพื่อลดการกดทับและบรรเทาอาการปวดแผล ในรายที่ฉีดยาชาเข้าช่องไขสันหลังควรนอนราบอย่างน้อย 12 ชั่วโมง เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากยาชาเฉพาะที่
  3. สามารถเริ่มรับประทานอาหารได้ตามปกติ
  4. การนั่งแช่ก้นในน้ำอุ่น จะเริ่มในเช้าวันรุ่งขึ้นหลังการผ่าตัด โดยใช้น้ำอุ่นใส่ในอ่างที่มีขนาดของปากอ่างพอดีกับก้นเพื่อป้องกันไม่ให้แผลผ่าตัดกดทับกับก้นอ่างและแผลได้สัมผัสกับน้ำได้เต็มที่
  5. หากมีอาการปวดหลังผ่าตัด ควรแจ้งให้แพทย์และพยาบาลทราบ

ແຊລ໌ບົດຄວາມນີ້

About the Author

You may also like these